มะละกอ
มะละกอ
เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง มีปลูกอยู่ทั่วไปทุกภาคของประเทศ
ทำรายได้ให้เกษตรกรปีละไม่น้อย ผลผลิตสามารถส่งเป็นสินค้าออกนำเงินเข้าประเทศปีละหลายสิบล้านบาท
มะละกอเป็นพืชที่สามารถใช้ประโยชน์ทั้งบริโภคดิบและสุก
ผลดิบใช้ประกอบอาหารแปรรูปทำเค็มหั่นฝอย เชื่อมและกวน ผลสุกนอกจากจะใช้รับประทานสดแล้ว
ยังแปรรูปเป็นมะละกอแห้งเข้มข้น น้ำเชื่อม
ฟรุตสลัด และกวน นอกจากนี้ ยางจากผลมะละกอยังมีสารปกเปน
(Pqpqin) ที่ทำเป็นผงแห้งใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ยา และอุตสาหกรรมฟอกหนัง
การเตรียมเมล็ดพันธุ์
เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมเก็บเมล็ดพันธุ์เอง โดยเก็บจากต้นที่ให้ผลผลิตสูง
ลักษณะผลยาว ลูกโต ซึ่งเป็นลักษณะของต้นกะเทย การเก็บเมล็ดจากต้นกะเทยที่ผสมตัวเอง
เมื่อนำไปปลูกจะได้ต้นกล้าที่เป็นต้นกะเทยต่อต้นตัวเมีย
อัตราส่วน 2 : 1ควรเก็บเมล็ดจากผลที่อยู่ตรงกลางลำต้นหรือผลชุดที่
2 ในกรณีต้องการพันธุ์แท้ ควรช่วยผสมพันธุ์โดยใช้ถุงคลุมดอกก่อนดอกบาน
เมื่อดอกบานใช้เกสรตัวผู้ในต้นเดียวกันหรือพันธุ์เดียวกันป้ายที่เกสรตัวเมีย
แล้วใช้ถุงคลุมอีกครั้งหลังจากนั้นประมาณ 7 วัน จึงถอดถุงคลุมออก เมล็ดที่ได้จากผลสุกสามารถนำไปเพาะได้ทันที ถ้าจะเก็บควรล้างเนื้อเยื่อให้สะอาดนำไปผึ่งไว้ในที่ร่มจนแห้ง
บรรจุถุงพลาสติกปิดให้แน่น แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นจะเก็บได้นานประมาณ
1 ปี ควรหาเปอร์เซ็นต์ความงอกก่อนนำไปเพาะ
การเตรียมต้นกล้า
สามารถเพาะเมล็ดลงในถุงโดยตรง โดยเตรียมดินผสมหื้ร่วนซุย
อัตราส่วน ดิน 3 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน และขี้เถ้าแกลบ 1 ส่วน ผสมให้เข้ากัน กรอกใส่ถุงพลาสติกที่เจาะรูระบายน้ำแล้ว
ขนาด 5 x 8 นิ้ว ตั้งเรียงไว้กลางแจ้งหรือในเรือนเพาะชำที่สามารถให้น้ำได้อย่างสม่ำเสมอทุกวัน
จากนั้นหยอดเมล็ดมะละกอถุงละ 3 เมล็ด
ลึกประมาณ 0.5 ซม.
รดน้ำให้ชุ่มทุกวัน เมล็ดจะงอกหลังเพาะประมาณ
10 – 14 วัน ควรฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา
เช่น แมนโคเชบและสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง
เช่น โมโนโครโตฟอส โดยผสมยาจับใบ เมื่อต้นกล้าเริ่มงอก
และหลังจากนั้นทุก 10 วัน
จนอายุได้ 45 – 60 วัน
จึงย้ายลงปลูก ในระหว่างนี้อาจเร่งการเจริญเติบโต
โดยใช้ปุ๋ยทางใบสูตร 21 – 21 – 21 อัตรา 2 ช้อนแกง/น้ำ
20 ลิตร ผสมยาจับใบ ฉีดพ่นทุกสัปดาห์ ระยะเวลาที่เหมาะสมในการเพาะต้นกล้า
คือ เดือนมกราคม ย้ายปลูกในเดือนมีนาคม
สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิต สำหรับรับประทานสุกได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม
เป็นต้นไป
การเลือกพื้นที่ปลูก
มะละกอเป็นพืชที่ชอบดินร่วนและมีการระบายน้ำดี ไม่ชอบน้ำขัง
มีอินทรียวัตถุสูง หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า
1 เมตร ลักษณะเป็นกรดเล็กน้อย
มี่น้ำเพียงพอในช่วงฤดูแล้ว ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมแรง
มะละกอจะเจริญเติบโตได้ดีถ้าได้รับแสงแดดเต็มที่ จึงไม่ควรปลูกถี่หรือชิดเกินไป จะทำให้ป้องกันกำจัดศัตรูมะละกอได้ลำบาก
การเตรียมแปลง
ไถพื้นที่เพื่อปราบวัชพืช 2 ครั้ง ครั้งแรกไถกลบ ครั้งที่ 2 ไถพรวนย่อยดินให้ร่วน
จากนั้นวัดระยะปลูกโดยทั่วไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ระยะ 2.50 x 2.50 เมตร หรือ 2.00 x 2.00 เมตร
การปลูกถี่จะทำให้ขนาดของผลเล็กลง ขุดหลุมสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง
50 ยาว 50 และลึก
50 ซม. ผสมดินปากหลุมกับปุ๋ยคอกประมาณครึ่งปิ๊บ
ใส่ปุ๋ยร็อกฟอสเฟต (หินฟอสเฟต) อัตรา
150 – 250 กรัมต่อหลุม และปุ๋ยเกรด
15 – 15 – 15 อัตรา 20 กรัมต่อหลุม
ปลูกต้นกล้าที่เตรียมไว้แล้วกลบดินในระดับเท่ากับดินในถุง
ไม่ควรปลูกลึกจะทำให้รากเน่า ปลูกหลุมละ
2 – 3 ต้น เมื่อมะละกอแสดงเพศแล้วจึงถอนแยกทีหลังให้เหลือต้นกะเทยไว้หลุมละ
1 ต้น
การให้น้ำ
การปลูกในต้นฤดูฝน จะเป็นการประหยัดทุนและแรงงานในการให้น้ำ
โดยเฉพาะในช่วงปลูกใหม่ ๆ ควรให้น้ำ
2 – 3 วันต่อครั้ง ในช่วงติดผลมะละกอต้องการใช้น้ำมาก
การขาดน้ำจะทำให้ดอกร่วงผลไม่สมบูรณ์ การให้น้ำจะทำให้มะละกอมีผลผลิตสูง
โดยเฉพาะในพื้นที่ดินหรือสภาพทั่วไปของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การใส่ปุ๋ย
ควรมีการให้ปุ๋ยคอกเพิ่มเติม เพื่อให้มะละกอมีการเจริญเติบโตแข็งแรงและสมบูรณ์
โดยใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์หลังปลูก 3 – 4 ครั้งต่อปี ครั้งละครึ่งปี๊บต่อต้น
ส่วนปุ๋ยเคมีใช้เกรด 15 – 15 – 15 อัตรา 50 กรัมต่อต้น หลังย้ายปลูก 1 เดือน ทุกเดือน เดือนที่ 3 เพิ่มเป็นอัตรา 100 กรัมต่อต้น
ทุกเดือน เมื่อมะละกอเริ่มติดผลเพิ่มเป็นเกรด
15 – 15 – 15 อัตรา 100 กรัม
และยูเรีย 50 กรัมต่อต้น
การใส่ปุ๋ยให้หว่านห่างจากโคนต้นแล้วใช้ดินกลบ อย่าใส่ปุ๋ยกลบโคนต้น นอกจากนี้ อาจมีการให้ปุ๋ยทางใบ ได้แก่ ปุ๋ยเกรด 21 – 21 – 21 ชนิดที่มีธาตุอาหารรอง
ฉีดพ่นทุก 2 สัปดาห์
อัตรา 5 ช้อนแกงต่อน้ำ
20 ลิตร
การกำจัดวัชพืช
ในระยะปลูกใหม่ ๆ อาจมีการปลูกพืชแซม
สำหรับการดายหญ้ากำจัดวัชพืชให้ระวังอย่าให้ถูกรากมะละกอ
เพราะจะทำให้มะละกอชะวักการเจริญเติบโตหรือรากเน่าได้ การใช้ยาฆ่าหญ้าเวลาฉีดพ่นควรระวังอย่าให้ละอองถูกใบพืช การปราบวัชพืชจำเป็นมากเฉพาะช่วงที่มะละกอเริ่มปลูกเท่านั้น เมื่อมะละกอโตมีกิ่งก้านผีทรงพุ่มคลุมดินแล้ววัชพืชจะมีน้อย
การออกดอกติดผล
หลังจากมะละกอเริ่มแสดงเพศ ให้เลือกเฉพาะต้นกะเทยหรือต้นสมบูรณ์เพศไว้หลุมละ
1 ต้น โดยการสังเกตจากดอกของมะละกอ
ที่เหลือให้ตัดหรือถอนทิ้ง ลักษณะเพศของมะละกอมีดังนี้
-
ต้นตัวผู้ จะมีแต่ดอกตัวผู้ล้วน ๆ
ลักษณะเป็นหลอดเล็ก ๆ ส่วนปลายจะบานและแยกกันเป็นรูปแฉกข้างในมี
เกสรตัวผู้ 10 ชุด ก้านดอกจะยาวและไม่ติดกัน ต้นชนิดนี้ไม่ติดผล หรือติด แต่เป็นผลเล็ก เรียก “มะละกอติ่ง”
-
ต้นตัวเมียมีดอกตัวเมียล้วน ๆ ลักษณะอวบใหญ่
มีกลีบดอก 5 กลีบ แยกกันเห็นได้ชัดตั้งแต่โคนกลีบ ปลายรัง
ไข่มีที่รองรับละอองเกสรเป็นแฉกเล็ก
ๆ
5 แฉก ไม่มีเกสรตัวผู้
ก้านดอกสั้น ให้ผลที่มีรูปร่างกลมใหญ่
ข้างในกลวง
-
ต้นสมบูรณ์เพศ หรือต้นกะเทย
อาจมีทั้งดอกตัวผู้และดอกสมบูรณ์เพศในต้นเดียวกัน ดอกสมบูรณ์เพศมีหลาย
ชนิด ที่ต้องการของท้องตลาด
คือ ชนิดผลยาว ลักษณะมีเกสรตัวเมียยาวและมีกลีบดอกหุ้มอยู่
โคนกลีบดอกติดกันตลอด ตอนปลายแยกกัน
เกสรตัวผู้มี 10 ชุด
เชื่อมติดอยู่กับโคนด้านในของกลีบดอก ให้ผลยาวรีรูปทรงกระบอก
ข้างในกลวงเล็กน้อย เนื้อหนากว่า
ผลที่เกิดจากดอกตัวเมีย
มะละกอแขกดำสายพันธุ์คัดมีความต้านทานต่อโรคใบด่างได้ดีในระดับหนึ่ง คือ
สามารถให้ผลผลิตได้ในฤดูแรกหลังจากเกิดการระบาดของโรค
และมีลักษณะลำต้นเตี้ย แข็งแรง
ติดผลดกการประเมินคุณค่าของมะละกอแขกดำสายพันธุ์คัด
ให้ผลดก ติดผลไว
และมีลักษณะทนทานต่อโรคใบด่างดีกว่าพันธุ์ทั่ว ๆ ไป ลักษณะประจำพันธุ์มีดังนี้
1.
ลักษณะใบสีเขียวเข้ม (5GY – 3/4) มีเส้นใบ 9 – 13 แฉก
(Straight)
2.
ลักษณะผลกลมยาว ส่วนโคนของผลเล็กกว่าส่วนปลายของผลเล็กน้อย
(Lenghtened – cylindrical) ความกว้าง
ช่วงหัวผล 7.9 ซม. ช่วงท้ายผลยาว 8.8 ซม.
ผลดิบสีเขียวเข้ม (7.5 Gy – 4/4) ผลสุกมีสีผิวสีส้ม
(5YR – 6/10) ผลยาว 29.2 ซม.
1.
ออกดอกเมื่ออายุประมาณ 120 – 130 วันหลังปลูก (ปลูกในฤดูแล้ง) ความสูงเมื่อเริ่มออกดอกประมาณ
1.50
เมตร
1.
เก็บเกี่ยวผลดิบเมื่ออายุประมาณ 2 – 3 เดือนหลังดอกบานผลสุกประมาณ 5 – 6 เดือน
2.
ลักษณะเนื้อแน่นละเอียด สีเนื้อผลสุกแดงเข้ม
(10R – 6/10) เนื้อหนา 2.6 ซม.
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น